วันพฤหัสบดีที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เรื่องเดิม....ผู้แสดงชุดใหม่...ละครแต้มสี

ทิ้งร้างห่างหายไปเป็นเดือน ตื่นเต้นกับตัวละครในห้องเรียนชุดใหม่ ปีนี้ฉันได้อยู่กับพวกเขานานกว่าทุกปีของแต่ละวัน ทำให้ต้องเตรียมตัวรับมือกับบทบาทของแต่ละคนที่เข้าฉากการแสดง ฉันคงเป็นผู้กำกับยอดแย่หากไม่เปลี่ยนแปลงบทละคร ทั้งยังต้องวางแผนเขียนบทให้ทันสมัย วิเคราะห์ตัวละครกับเหตุการณ์ของความเปลียนแปลงในบ้านเมืองด้วยการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้สอดแทรกไปทุกอณูแห่งความเป็นมนุษย์เท่าที่จะสามารถทำได้ ฉันโหลดข้อมูลจากอินเทอร์เนตเรื่องศาลฎีกาสั่งจำคุกทนายความสามคน กรณีลืมถุงขนมใส่เงินสองล้าน ไว้กับเลขานุการศาลฎีกา เป็นเวลาหกเดือน โหลดเรื่องของความรักชาติในกรณีเขาพระวิหารมาให้คิด แน่นอนเขาพระวิหารอยู่ติดเขตบ้านเราย่อมที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ติดข่าวพันธมิตรประท้วงรัฐบาลเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตย ยังมีอีก...คิดว่าองค์การบริหารส่วนตำบลให้โรงเรียนส่งโครงการเพื่อจัดสรรงบประมาณ...แล้วหนูอยากให้เขาช่วยอย่างไรละจ๊ะ???...ดื่มนมถึงชั้นประถมศึกษาปีที่หก...ว้าว...ดีจัง..!!..ครูหรือ? ก็ให้หนูอ่านหนังสือออกไง....ฉันยังไม่ออกนอกเวทีนะ ผู้แสดงของฉัน เขาควรมีสิทธิที่จะรับรู้ความเป็นไปของบ้านเมือง เอ้อลืมไป.....หลายสีแล้วยัง?....เปื้อนไปหรือเปล่า?..จากผ้าขาว สีสะอาดฉันจะแต้มสีตามที่เขาต้องการโดยมีกรอบของศีลธรรมป้องกันสิ่งปนเปื้อน
คุณล่ะ....อยากได้สีอะไรบ้าง นอกเหนือจากสีแห่งความเป็นประชาธิปไตยและสีแห่งความรักชาติมีมากมายมั้ยเอ่ย......

วันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑

วิทยฐานะ.......ผลงานทางวิชาการ

ปิดภาคเรียนนี้กลับไปช่วยพี่ช่วยน้องดูแลแม่ที่แก่มากแล้ว จิตใจว้าวุ่น อีกไม่กี่เดือนเงินเดือนก็จะเต็มขั้น ตันแน่ๆ.....อายุราชการเหลืออีกสิบปี เป็นหัวหน้างานวิชาการ แต่ไม่ทำผลงาน เป็นได้ไง?....ไม่พัฒนาตนเอง อายรุ่นน้อง เขาเลื่อนแท่งเงินเดือนใหม่ เราทำงานได้เลื่อน 1 ขั้นต่อกันสามครั้ง.......แต่ไม่เคยได้เลื่อนแท่งเพราะยังไม่ได้สมัคร ปีที่ผ่านมาสมัครขอรับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ แต่สละสิทธิ เมื่อเห็นน้องสาวสมัครเช่นกันจึงคิดช่วยน้องก่อน เพื่อจะได้ไม่ล่มทั้งคู่ น้องสาวผ่านฉลุย ปีนี้ตัดสินใจทำผลงานทางวิชาการเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะแน่ๆ มองดูตัวเอง คิดมั่วไปหมด จิตคิด แตก ดับ เป็นเช่นนี้ตลอด จับคอมพิวเตอร์เตรียมงานคราใด มารผจญมากมาย จะทำอย่างไรดี คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัว.......คุณเป็นเหมือนฉันมั้ย???.....

มีเพื่อนถามว่า พี่ไม่จ้างเขาทำหรือ?....ฉันตอบโดยไม่ต้องคิดว่า.....ไม่....ไม่มีเงินมากพอ ให้ลูกเรียนหนังสือแม่ก็แทบจะกินเกลือแล้ว ...อ๊ะ..อ๊ะ...อย่าคิดนะว่า ถ้ามีเงินแล้วจะจ้างละซิ..... ไม่มีทางเสียหรอก

ฉันคงจิตไม่นิ่งพอ ไม่มีสมาธิในการเตรียมงาน

วันนี้มีรุ่นน้องโทรศัพท์มาคุย เขาทำรายงานการใช้บทเรียนสำเร็จรูปเป็นผลงานทางวิชาการ ราคาห้าหมื่น ฉันกลืนน้ำลายที่เหนียวหนับอยู่ในคอ เพื่อนของฉันเล่าให้ฟังว่ามีคนไปจ้างทำผลงานทางวิชาการ เป็นหนังสือส่งเสริมการอ่าน จำนวน 12 เล่ม หนังสือสวยมาก น่าอ่านทีเดียว ราคาแปดหมื่น ฉันยิ่งคอแห้งไปกว่าเดิม
เดือนตุลาคมที่จะถึงมีข่าวการประเมินแบบใหม่ มีการเอาผลคะแนน NT เข้ามาร่วมตัดสิน (ท่านรัฐมนตรีแต่ละท่านก็มีวิธีการบีบ คั้น สร้างวิธีการจัดการกับลูกไก่ในกำมือ รู้สึกว่าแต่ละท่านจะสนุกสนานแบบลักษณะของคนเป็นโรคจิตกับข้าราชการ) ครูก็เลยแห่สมัครรอบเดือนเมษายนกันเพียบ

ฉันแก่ลงมั้ง????....พออบรมที ก็มีแรง ความคิดโลดแล่น กระดี๊กระด๊า...ผ่านเลยไปเจออุปสรรคก็ท้อแท้หมดเรี่ยวแรงเหมือนเดิม...เมื่อช่วยเพื่อนทำใบสมัครมีความรู้สึกว่าตนเองก็มีโอกาสมากกว่าคนอื่น แต่ทำไมในเรื่องของผลงานวิชาการกลับมีความรู้สึกว่า ...ทางตัน...

ช่วยหาแนวทางคลายทุกข์หน่อยเถอะ....

มีสองทาง.....จิตบอก.....ทางแรกหยุดเสียสิ....สมองจะได้โล่ง

ไม่มีทาง....จิตอีกตัวบอก....ยิ่งจะถอยหลังเข้าคลองน่ะสิ...ไม่อายคนหรือ? ที่ขี้เกียจน่ะ....

นั่นสิ..!..!..น่าอายมาก....

ทางที่สอง.....สู้..สู้...คนอื่นทำได้ทำไมเราจะทำไม่ได้....งานที่ทำไว้ก็มีมากมายเอามาจัดให้เข้าระบบสิ..

คุณล่ะ.....คิดว่าฉันมีทางอื่นอีกไหม?..??...!...

วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

วิถีชีวิต.....กับความล่มสลายที่จะเกิดขึ้น??.....

วันนี้ลุงชาญสามีของเพื่อนร่วมงานส่ง Mail มาให้ ทำให้ฟันเฟืองวงเล็กๆ ด้านการศึกษาของชาติอย่างฉันชะงัก...นึกคิดเออ ออ ไปกับข้อมูลที่ส่งมา คุณมาอ่านด้วยกันสิ
ปี 2553 จุดจบประเทศไทย ......ถ้ายังเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย เรื่องนี้คนไทยทุกคนควรที่จะได้รู้ .....


ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้มีเกิด มีดับ ตลอดเวลา .....ประเทศไทยก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกัน สืบเนื่องจากการบรรยายของคุณนิติภูมิ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโคซึ่งเป็นสถาบันที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปั­­าหวังครองโลกในสมัยหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่า ประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น 6-14ประเทศ ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็นแต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น ติมอร์ และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศ อาเจะ และอีกหลายประเทศที่จะเกิดตามมา ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ แน่นอน !ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ­ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์ การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์สินค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออก เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทาง เป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน คนปลูกหอม กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน เป็นวงจรอย่างนี้ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้ เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน เนื่องจาก สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๊ยของต่างประเทศ พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้าพันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนให­ญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้ วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย รัฐบาลไทยจะไม่มีปั­­ญญาที่จะแก้ไข??ั­หาได้ เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว ไฟฟ้าก็แพงขึ้น น้ำมันก็แพงขึ้น โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เขาสามารถตั้งราคา ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่า เขาจะไม่มีกำไรธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้

ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้ การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ ก็ไม่ามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้ เพราะธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ Big C, Lotus, Carrefour, ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, McDonal, สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯดังนั้น เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด ... เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ ... รัฐจะอยู่ได้ฤา ?

4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในปี 2553 คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้น จนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหาร ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปั­­าไปต่อสู้อยู่แล้ว การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน

จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี ตราด ระยอง ฉะเชิงเทรา จะขอแยกตัวตามมา เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก นั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทย คล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก Russia ถ้าไทยต่อต้าน เจอทหารต่างชาติแน่ เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร ?

ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ มาหลายปี และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบทุกวันนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของนิติภูมิ ไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ในการวิเคราะห์ บ่อยครั้งที่นิติภูมิ มองการค้า การเมือง สังคมไปพร้อมกัน รวมทั้งประวัติศาสตร์เขามอง อาเจนติน่า ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจก่อนล่มจริง... เขาทำนาย การเกิดสงคราม อเมริกากับอิรัค ข้อคิด รวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ ผมว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้นิติภูมิ ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทย แทนที่ไปเดิน big-c, lotus, careflour, เพราะผมบอกแม่บ้านและลูก ๆ ว่า เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน ไม่ต้องไปห้างให­่อีกเพราะอะไร เพราะเราไป คาร์ฟู เงิน 100 บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86 บาท เหลือให้คนไทย 14 บาทเพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์ บิกซี โลตัสเหมือนกันนิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดังผมตกใจมาก และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้น เพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วบางห้าง 86 ปอร์เซ็นต์ สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5 บาทก็ซื้อที่นี่เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ๆ ถ้าซื้อจากห้าง 1,000บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900บาท ที่เหลือ 100 บาท ที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียว ห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศคนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง คาร์ฟู ส่งห้างต่างชาติ เกือบ100 เปอร์เซ็นต์เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร ทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้ ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลง เลิกกิน kfc และพยายามทานให้ลดลง และจำนวนหน ต่อปีน้อยสุด ผมอธิบาย วิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้าน และลูกฟังหัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว ดีครับ ได้ผล... ลูกเปลี่ยนวิธีกิน... วิธีคิดไปเลย ... เปลี่ยนไปได้มากพอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้าง ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา 3 ขาไก่ทอดแบบไทย ๆ แล้วผมไป kfc ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกัน ราคาต่างกันลิบเลย ผมก็อธิบายคำว่า license ( ค่าลิขสิทธิ) ให้ลูกฟังผมบอกว่า ซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธ ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ ใบตองที่ห่อขนมไทย ไม่มีลิขสิทธิมันเป็นวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน ขนมต่างชาติ ห่อสวย แพง เพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิเวลามันหล่นที่พื้น ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปีผมสอนแบบนี้ ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย ผมทำได้และได้ทำแล้ว

ปล. ใคร่จะขอกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นพระคุณมากครับยาวไปหน่อย แต่อยากให้อ่าน

คุณล่ะ....มีความคิดเห็นอย่างไร การรบแบบสมัยโบราณผ่านไปแล้ว สมัยนี้มีการรบแบบใหม่ ดูไม่น่ากลัว ไม่มีรูปแบบการรบ จนไม่เชื่อว่าจะทำให้สิ้นชาติหรือเกิดความแตกแยกขึ้นในแผ่นดินนี้ แต่มันแทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตการทำงาน อยู่ในค่านิยมของการบริโภค อยู่กับความฉาบฉวยที่ผ่านมาแต่ไม่ผ่านไปพร้อมที่จะเผยแพร่จากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง

ปลายปีที่แล้ว Lotus มาเปิดใกล้บ้านฉัน ที่จริงใกล้บ้านน้องสาวฉันมากกว่า มีกลุ่มพ่อค้าในอำเภอต่อต้านมากมาย ลงหนังสือพิมพ์ก็แล้ว เดินขบวนก็แล้ว ในที่สุดก่อนฤดูกาลของการย้ายของผู้ว่าราชการจังหวัดก็ได้อนุมัติให้สร้างขึ้นในย่านชุมชน ผู้ว่าราชการจังหวัดท่านย้ายไปแล้ว ความทุกข์ระทมของพ่อค้าร้านโชห่วย ก็ประเดประดังเข้ามา ช่วงปีใหม่ Lotus มีคนมาจับจ่ายสินค้าแน่นเต็มไปหมด ต่างกับร้านค้าที่ลดราคากลับไม่มีคนซื้อ แค่นั้นไม่พอ โทรทัศน์ลงข่าวเกี่ยวกับเขาพระวิหารที่จะขึ้นทะเบียนมรดกโลก ทำให้มีปัญหากระทบกระเทือนกับประเทศไทย บ้านของฉันมิกลายไปเป็นอีกประเทศหนึ่งหรือ??..!...

คุณลุงชาญคะ..... ปีการศึกษาหน้าฉันได้สอนวิชาสังคมแน่ๆ ฉันจะเอาบทความนี้ไปให้นักเรียนอ่านและฝึกวิเคราะห์พร้อมกับจะหาวิธีที่จะไม่ให้สังคมเป็นไปอย่างที่คุณนิติภูมิว่าไว้ อยากบอกกับคุณนิติภูมิจังว่า คุณวิเคราะห์ได้ ที่ผ่านมาเป็นไปอย่างที่คุณว่า แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงปี 2553 เรามาหาวิธีการป้องกันมิดีกว่าหรือ? เราจะเริ่มกันที่กลุ่มเล็กๆ ให้มากกลุ่ม สร้างเครือข่ายร่วมกัน แต่จะบอกลุงหมักว่าอย่างไรดี....เพื่อให้ลุงหมักร่วมด้วยช่วยกัน ไม่เช่นนั้นแล้วความซึ่งตรงของบรรพบุรุษของท่านที่มีต่อสถาบันหลักของชาติจะล่มสลายไปด้วย...!!!..

วันพุธที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑

ห้องสมุดกับการบริการ


"ท่านผอ.คะ....เขาพูดลามกกับหนูค่ะ"

"เขาพูดลามกอย่างไร"

"เขาชวนหนูไปห้องสมุดค่ะ"
ท่านที่อ่านหนังสือพิมพ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคงได้เห็นการ์ตูนที่ดิฉันยกคำพูดมาให้อ่านกันข้างบน เป็นช่วงที่ดิฉันได้ไปศึกษาดูงานที่โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๗๕ ซื้อหนังสือพิมพ์อ่านตอนเช้าจึงรู้ว่าห้องสมุดมีบริการใหม่ เป็นการให้บริการโดยไม่ได้ตั้งใจจนถูกร้องเรียนว่าห้องสมุดกลายเป็นแหล่งมั่วสุม และให้บริการทางเพศ เมื่อถูกหนังสือพิมพ์ลงข่าวห้องสมุดต่างๆ พากันร้อนตัวเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะห้องสมุดประชาชน อันมีอยู่ทุกจังหวัดและหลายๆ อำเภอ


ดิฉันเป็นครูประถมศึกษา ดูแลห้องสมุดโรงเรียน ให้บริการห้องสมุด หนอนหนังสือของดิฉันยังตัวเล็กอยู่ เด็กไม่ได้รักการอ่านมากมายอย่างที่ดิฉันหวังไว้ แต่จะมีกลุ่มหนึ่งที่ยืมหนังสือเป็นประจำทุกวัน จะมีบางส่วนเข้ามาเล่นอย่างเดียว บางคนยกหนังสือออกมาเป็นตั้งๆ รื้อและรื้อ....เปิด....เปิด.....เล่น....แล้วเดินออกไปจากห้องสมุดแต่มีเหมือนกันที่ตั้งใจเข้ามาอ่านหนังสือ เลือกและยืมไปอ่านทั้งๆ ที่อ่านหนังสือไม่คล่อง อ่านช้า.....ยืมไปอ่านที่บ้าน ยืมเถอะลูก....ครูไม่ว่าเลยหากทำให้หนูอ่านหนังสือได้มากขึ้น


หลังข่าวความเสื่อมเสียของห้องสมุด ดิฉันเดินวนเวียนหาจุดบกพร่องที่เป็นมุมมืด จุดอับที่มองไม่เห็น รักษาความสะอาดและจัดหนังสือให้เป็นระเบียบมากขึ้นกว่าเดิม แต่เนื่องจากลูกค้าของดิฉันอายุยังไม่เกิน ๑๓ ปี จึงไม่มีปัญหาอย่างที่พบในหน้าหนังสือพิมพ์ กลับพบปัญหาใหญ่ที่ครูทุกคนต้องแบกไว้ตลอดคือ จะทำอย่างไรให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้ต่างหาก???.......


มีนักเรียนรุ่นน้องมาขอสมัครเป็นบรรณารักษ์น้อย ช่วยรุ่นพี่ในการรับ-ส่งหนังสือ คงคิดว่าเยี่ยมจริงๆ ที่ได้นั่งเคาเตอร์ให้บริการในการยืม-รับส่งหนังสือจากเพื่อน และมีหลายคนที่อ่านหนังสือช้า เขียนทีละตัว แต่อยากเป็นบรรณารักษ์ ดิฉันไม่เคยปฏิเสธในการทำงานของเด็ก อย่างน้อยการที่เด็กอยู่กับหนังสือจะช่วยให้เขาอ่านหนังสือได้ดีขึ้น


ช่วงนี้ทุกโรงเรียนกำลังเร่งรัด เข้มข้นกับการทดสอบเด็กทุกช่วงชั้นที่จริงไม่น่าเกี่ยวกับห้องสมุดเลย เพียงแต่ถ้าครูใช้แหล่งเรียนรู้จากห้องสมุดในการใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อสอบก็จะเกี่ยวกันทันที การสอบจะมีผลต่อการเลื่อนและกำหนดตำแหน่งของครูด้วย วิธีการนี้ดิฉันว่าดี ผลงานทางวิชาการจะไร้ความหมายหากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในความรับผิดชอบของท่านไม่มีการพัฒนา โรงเรียนของดิฉันเป็นศูนย์สอบ ดังนั้นหลายๆ โรงเรียนใกล้เคียงจะพานักเรียนมาสอบ บางโรงเรียนมีนักเรียนอยู่ ๑๐ คน อ่านไม่ออก ๔ คน เด็กทั้ง ๔ คนครูหาทางออกง่ายๆ ด้วยการระบายทึบในช่องบกพร่องทางการเรียนรู้ ท่านผู้อ่านเห็นทางออกของครูมั้ย......วิธีสุดท้ายที่ครูไม่สามารถแก้ตัวได้คือ โทษพื้นฐานของเด็ก...ก็มันโง่เอง...เป็นมาแต่พ่อแม่มาแล้ว....


ดิฉันจัดตารางให้ทุกห้องเรียนสามารถนำนักเรียนมาใช้บริการห้องสมุด...แต่ส่วนใหญ่ที่ครูใช้คือไปวาดรูปที่ห้องสมุด ก็ยังดี.....ไปอ่านหนังสือห้องสมุด......ครูล่ะอยู่ที่ไหนเมื่อเด็กเข้ามาที่ห้องสมุด????.......


วันอังคารที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑

ทัศนะ.......ศึกษา.......


ทุกปีหน่วยงานของฉันชวนกันไปทัศนศึกษา คุณรู้ไหม? อีสานกับทะเลถูกกันจริงๆ ปีก่อนเราไปเที่ยวเชียงใหม่ สมาชิกไม่เต็มคันรถ(รถบัส)เนื่องจากไม่ใช่ทะเล ปีถัดมาไปเที่ยวเขาใหญ่นอนเต้นท์และลงไปเล่นน้ำที่เกาะเสม็ดพักที่รีสอร์ท เมื่อประเมินดูแล้วไม่ถูกใจที่ไปนอนเขาใหญ่เนื่องจากไม่สะดวกที่จะนอนเต้นท์ (แต่ฉันชอบจังเลย) ครั้งนี้พิเศษสุดๆ ไปทัศนศึกษาจริงๆ คือดูงานที่โรงงานคริสตัล โลตัส เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สัตว์ใต้ทะเล ชมโรงแยกแกส และเข้าพักที่ คลังน้ำมันเขาบ่อยา ซึ่งให้บริการที่พักโดยที่เจ้าตัวไม่อยู่ (เป็นความสามารถพิเศษของฉันที่มีเพื่อนเป็นผู้จัดการคลังปิโตรเลียมภาคตะวันออก) ทำเอาเพื่อนๆ ติดใจใหญ่ ชักอยากเห็นหน้าเพื่อนของฉันเสียแล้ว รุ่งเช้าเราเดินทางกันต่อ ไปที่เกาะช้าง ลงทะเลดำน้ำดูปะการัง และแล้ว......คนที่อยู่บนเรือก็เห็นปลาพะยูนสวมหน้ากากเต็มไปหมด ไปเที่ยวโดยมีไกด์ก็ดีไปอย่าง ตกกลางคืนยังมีกิจกรรมให้กับคณะได้สนุกสนานกันต่อพอประมาณ
ทัศนะ....เป็นการแสดงความคิดเห็น คุณอ่าน ใน blog แล้วรำคาญบ้างไหม พูดแต่เรื่องตัวเอง..อย่าเพิ่งเบื่อเลยค่ะ...ที่นี่จะช่วยปลดปล่อยความคิดที่มันอึดอัดอยู่ในใจออกมา บางทีเราอาจเหมือนกันสักมุม
ศึกษา......ชีวิตคนอื่นดูบ้าง...อยากให้คุณดูในมุมที่มีความสุข....เกรงว่าหากนำเรื่องของทุกข์มาให้ฟังแล้วคุณจะเหนื่อยไปด้วย
คุยกันหน่อยจะเป็นไรไปละคะ...........

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เด็ก/ผ้าขาว/ผ้าสี

ดิฉันดูรายการย้อนรอยของพี่หนุ่ม เมื่อคืนนี้(๑๓ มกราคม ๒๕๕๐) โรงเรียนน่าอยู่มาก การจัดการเรียนการสอนน่าสนใจ ในฐานะที่อยู่ในวงการศึกษา ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือตัวเด็กที่มีพื้นฐานล้วนแต่ขาดความอบอุ่นจากครอบครัวแทบทั้งสิ้น

โรงเรียนดิฉันมีเด็กประเภทนี้มากมาย เวลาเด็กมีปัญหาหรือถูกทำร้ายกลับมีญาติโกโหติกาอีกมากมาย เช่นกัน เพื่อที่ว่าจะได้เงินจากกรณีต่าง ๆ แต่เมื่อพ่อแม่เด็กกลับไปหาทำงานต่างจังหวัดเด็กกลับอยู่อย่างขาดแคลน การลักเล็กขโมยน้อยจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่เด็กจะเอาตัวรอด สังคมรอบข้างจะเสี้ยมสอนให้เด็กสามารถยืนหยัดอยู่ได้ เคยสังเกตเด็กเหล่านี้เมื่ออยู่ในห้องเรียนรวมกับเพื่อน เขาจะถูกแยกตัวอัตโนมัติ ทั้งด้วยตนเองต้องการและเพื่อนที่ไม่ต้องการคบหาสมาคมด้วย

คุณอ่านกรณีนี้ดูนะ

เด็กผู้หญิงประมาณชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ แอบขโมยมะม่วงกับน้องอีก ๒ คน ครูมาเห็นก็ไล่เด็กลงจากต้นมะม่วงด้วยความกลัวว่าเด็กจะตกลงมา แต่ครูไม่รู้ว่าพี่สาวแอบนิ่งอยู่บนต้นมะม่วง เมื่อครูกลับไป ภารโรงมาพบเห็นเข้าจึงไล่ลง และขู่ว่าจะฟ้องครูประจำชั้นเด็กหญิงไม่สนใจและยังท้าทายอีกว่าครูคนไหนก็ไม่กลัวทั้งนั้น ด้วยความโมโหที่ถูกเด็กพูดจาลองดี ท้าทาย ภารโรงจึงตีเด็กเข้าให้ เด็กร้องไห้ไปฟ้องบรรดาญาติๆ ซึ่งรุ่งเช้าก็ยกขบวนกันมาหาผู้บริหาร ในที่สุดภารโรงต้องจ่ายค่าตีเด็กไป ๔ ที ๔,๐๐๐ บาท ตามด้วยคำพูดอาฆาตมาดร้าย

ภารโรงผิดแน่ๆ ที่ตีเด็ก ตีไม่ถูกที่เสียด้วย เพราะโดนที่แขน......

หลังจากนั้นหนึ่งวันคณะครูช่วยกันรวบรวมเงินคืนให้ภารโรงจนเกือบครบ เพราะสงสารภารโรง

คณะครูส่วนใหญ่มีความรู้สึกอ้างว้าง......โดดเดี่ยว ไม่วันใดก็วันหนึ่งหากถูกลองดีเช่นนี้จะอดใจไม่ไหว

เพราะ

ฝ่ายบริหารกลัวมีปัญหากับชาวบ้าน เกิดชาวบ้านยกโขยงกันไปที่เขตการศึกษาฯ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ทันที

ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เกี่ยวข้องทำให้เด็กบาดเจ็บ......ครูต้องจ่าย

เช่นเวลาเที่ยงเด็กหนีไปเก็บมะม่วงที่บ้าน ตกลงมาขาหัก ครูจ่าย...ทั้งๆ ที่ครูหาอาหารกลางวันให้กินแล้วและกำชับไม่ให้หนีกลับบ้าน

เด็กงัดห้องเรียนปีนหน้าต่างเหยียบบนหลังคาห้องเรียนในวันหยุด กระเบื้องแตกตกลงมาแขนหัก ครูจ่าย...เพราะเป็นห้องของครูคนนั้น

ดิฉันไม่ได้เสียดายเงิน แต่มีความรู้สึกว่าความผูกพันระหว่างครูกับศิษย์มันไม่มี มองหน้ากันไม่สนิท สอนนักเรียนคนอื่นได้แต่มองหน้าคู่กรณีที่ทำให้เสียเงิน มันเสียความรู้สึกดีๆ ทั้งๆ ที่สงสารเด็กแต่มันเหมือนมีม่านบางๆ มากั้นไว้ คุณอาจคิดว่าเป็นครูจะไม่ให้อภัยศิษย์บ้างหรือ?

ยิ่งครูกับผู้ปกครอง ไม่ต้องพูดถึง

มามองดูเด็กบ้าง..!!!!......

ดิฉันไม่ได้ใช้ไม้เรียวมานาน เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ได้แต่ขู่ว่าจะตี ไม่เคยตีสักที มีเหมือนกันที่ต้องเดินหนีไประงับอารมณ์ กลัวอดใจไม่ได้

เมื่อกลับมาดูสาเหตุ

ปัญหาที่เกิดมาจากครอบครัวแทบทั้งสิ้น พ่อแม่หย่าร้างกัน ต่างฝ่ายต่างไปมีครอบครัวใหม่ ทิ้งเด็กให้อยู่กับย่ายาย ส่งเงินมาให้บ้าง ไม่ส่งบ้าง เด็กย่อมที่จะต้องหาวิธีที่จะเอาตัวรอดให้ได้

คุณดูข่าวที่แบ้งค์ถูกยิงตายไหม.....ขนาดแบ้งค์ยิงตำรวจตายไป ๓ นาย แม่ของแบ้งค์ยังกล่าวหาว่าตำรวจทำร้ายลูกตน แต่ไม่คิดสักนิดว่า ทำไมแบ้งค์จึงเป็นเช่นนี้?






วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑

อายไหม?..... ที่คนไทยอ่านหนังสือน้อย

ตัวเลขสำรวจรอบใหม่ที่มาบอกกล่าวกันในงาน "มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ ๑๒" โดยสมาคมผู้พิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือบอกว่า คนไทยอ่านหนังสือปีละ ๒ เล่ม
"คนไทยชอบดู ชอบฟัง ชอบพูด แต่ยังไม่ชอบการอ่านเท่าที่ควร"นายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์กล่าว "การรู้หนังสือจึงเป็นการช่วยสร้างคนและสร้างชาติ" ยังเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องและทันสมัย
ขณะที่คนไทยอ่านหนังสือปีละ ๒ เล่มนั้น คนเวียตนามอ่านปีละ ๖๐ เล่ม คนสิงคโปร์อ่านปีละ ๔๕ เล่ม แปลว่าอะไร? สถิติอย่างนี้ย่อมหมายความว่าเด็กไทยจะโตขึ้นด้วยจินตนาการและความคิดที่คับแคบกว่าเยาวชนของเวียตนามและสิงคโปร์ และนั่นก็ย่อมหมายความว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ความสามารถในการแข่งขันกับคนอื่นในทุกๆ ด้านก็จะลดน้อยลงและสถานภาพของประเทศที่เคยอยู่แถวหน้าของเอเชียอาคเนย์ก็จะอ่อนแอลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การสร้างนิสัยการอ่านคือการสร้างชาติ เพราะการอ่านทำให้เกิดความคิด จินตนาการ และความกล้าหาญทางจริยธรรม ที่สำคัญกว่านั้นคือ การอ่านทำให้คนมีสมาธิมากกว่าการดูทีวี ฟังวิทยุ หรือเล่นอินเทอร์เน็ต เพราะขณะที่อ่านหนังสือ เราต้องคิดและจินตนาการไปด้วย ทำให้เกิดความคิดเห็นด้วย ขัดแย้งหรือต่อยอดไปจากที่ได้อ่าน
การส่งเสริมให้เกิดนิสัยการอ่านนั้นต้องมาจากรัฐและเอกชนที่ต้องประสานกันอย่างใกล้ชิด ตลอดจนพ่อแม่ผู้ปกครอง และครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนจะต้องสร้างบรรยากาศของการอ่านการแลกเปลี่ยนความรู้และการถกกันในเนื้อหาที่อ่านมา เริ่มต้นง่ายๆ ก็คือการที่รัฐบาลต้องทำให้ค่าใช้จ่ายในการพิมพ์หนังสือนั้นถูกลงกว่านี้อย่างเห็นได้ชัด หาไม่แล้ว ความพยายามที่จะส่งเสริมให้เยาวชนไทยอ่านหนังสือก็ไม่อาจจะประสบความสำเร็จได้ ราคาหนังสือที่เวียตนาม สิงคโปร์ จีนและอินเดียนั้นถูกกว่าของไทยเราไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐-๓๐
นั่นคือข้อแตกต่างที่สำคัญต่อการสร้างวัฒนธรรมการอ่านของคนไทย เพราะถ้าหากหนังสือยังแพงและเป็นสิ่งหายก การผลักดันให้คนไทยอ่านหนังสือก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
คนไทย "ทำบุญ" ด้วยวิธีการต่าง ๆ และใช้เงินโดยไม่คิดมาก เพื่อหวังจะได้ "ขึ้นสวรรค์" กันมากๆ แต่กลับไม่สนใจที่จะบริจาคหรือช่วยกันพิมพ์หนังสือ สร้างห้องสมุด หรือจัดกิจกรรมให้เด็กไทยได้อ่านหนังสือมากขึ้น

บทความนี้ตัดจากหนังสือนิตยสารชีวจิต ฉบับปักษ์หลังเดือนธันวาคม ๒๕๕๐

ดิฉันเป็นครู สอนภาษาไทย ดูแลห้องสมุดเสียด้วยซิ ถามว่าอายไหมที่สอนเด็กแล้วอ่านหนังสือไม่ออก

อายค่ะ......โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในความรับผิดชอบ ไม่โยนกลองโทษว่าเป็นเพราะพื้นฐานเด็ก ครอบครัว สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็ก ฯลฯ เท่าที่ได้แก้ปัญหา เด็กจะอ่านได้หากเขาได้รับความสนใจ ยกเว้นเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้หรือเด็กพิการทางสมอง

เด็กที่อ่านหนังสือไม่ออกเขาบกพร่องอย่างไร......?........
ขาดความอบอุ่นทางครอบครัว อยู่กับย่า/ยาย/ญาติที่ไม่เข้าใจในเรื่องของการอ่านเขียนเรียนรู้ ร้านเกม แหล่งมั่วสุมมีมากมายแม้กระทั่งที่บ้านของเด็กเอง การที่ถูกครูดุหรือลงโทษยิ่งทำให้ไม่อยากมาเรียนมากขึ้น การอ่านยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ดิฉันเคยให้กำลังใจเด็กคนหนึ่งเมื่อเรียกเขามาอ่านหนังสือให้ฟัง และบอกว่า "อีกหน่อยวันดีจะอ่านได้เร็วกว่านี้จริงๆ นะ" เนื่องจากเด็กอ่านหนังสือไม่ออก อ่านช้ามาก แต่ดิฉันไม่รู้เลยว่านั่นคือพลังใจที่สำคัญ เมื่อดิฉันส่งเด็กถึงฝั่ง เรือจ้างลำถัดไปมาเล่าให้ฟังว่า "วันดีอ่านหนังสือได้ดีมาก" เขาเล่าอีกว่าดิฉันเป็นคนเติมเชื้อไฟในการอ่านให้เขา ทำให้เขาคิดว่า ต้องอ่านได้เหมือนคนอื่นๆ นี่คือตัวอย่างหนึ่งจากเด็กหลายๆ คนที่อ่านหนังสือได้ด้วยกำลังใจ


เพื่อนๆของดิฉันบอกว่าหลังเกษียณมีการวางแผนกิจการมากมาย ทำร้านกาแฟ ร้านอาหาร ดูแลสวนยางพารา สวนผลไม้ ฯลฯ

ดิฉันสะสมหนังสือไว้พอประมาณ ส่วนใหญ่หนังสือแปล ตำรวจน่าจะมารับบริการใช้ห้องสมุดได้มาก เพราะเป็นหนังสือแนวสืบสวน นอกนั้นเป็นหนังสือการศึกษา และเด็ก เคยฝันเล่นๆ อยากจะทำห้องสมุดหน้าบ้าน มีเครื่องถ่ายเอกสารสำหรับนักเรียนที่ต้องการ มีอินเทอร์เน็ตสำหรับการค้นคว้า(ไม่อนุญาตให้เล่นเกม) มีกาแฟให้ดื่ม (อ่านหนังสือจบ ๓๐ หน้ารับเอสเพรสโซ ๑ ถ้วย) ทุกอย่างฟรีแต่จะมีคนมาใช้บริการรึเปล่า หากคนไทยยังอ่านหนังสือปีละ ๒ เล่ม ???.....