วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

แม่.....พรหมของลูก

ฉันลางานช่วงวันที่ ๑๑-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ ไปดูแลแม่ที่ป่วย แม่ของฉันอายุ ๘๖ มีพี่สาวสองคน พี่ชายอีกคนและน้องสาวอีกคนผลัดกันดูแล พี่ชายน่ะเท่าแต่ดูและแลจริงๆ กลางวันเรามีตัวช่วย แต่หลังสี่โมงเย็นคงต้องผลัดกันจนเช้า ฉันใช้เวลาทั้งหมดที่รวมทั้งวันหยุดอยู่กับแม่ให้นานที่สุด ยังไม่คิดว่าแม่จะจากไปหรอก แต่ต้องการให้พี่ๆ และน้องได้พักเหนื่อยในช่วงที่ฉันอยู่ให้มากที่สุด แม่เดินไม่ได้แล้ว ฉันกลิ้งแม่เหมือนขอนไม้ใหญ่เพื่อเปลี่ยนผ้านุ่ง เปลี่ยนผ้าปูรองนอนเมื่อเปียก พลิกเปลี่ยนท่านอนทุกสองชั่วโมงเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ ยกแม่ให้นั่งเพื่อเปลี่ยนเสื้อ ป้อนอาหาร แม่ยังพูดได้ ถามรู้เรื่อง จำลูกได้ทุกคน แต่พูดน้อยลง บางวันที่แม่อยากสวดมนต์ดูได้จากการที่แม่นั่งพนมมือ ฉันจับมือแม่ทั้งสองข้างแล้วฉันก็พาแม่สวดอิติปิโส จนจบ แล้วต่อด้วยการแผ่เมตตา บางทีแม่คงอยากสวดมนต์เย็นเพราะไม่ยอมลดมือลง แต่ฉันจำบทสวดมนต์เย็นไม่ได้ หนังสือสวดมนต์ก็ไม่ได้ติดกระเป๋าไปด้วย ได้เท่าไรก็เท่านั้นก่อน สิ่งหนึ่งที่อยู่ในความคิดของแม่คือ ลูกที่ยังไม่แต่งงานยังเป็นของแม่ ลูกที่แต่งงานแล้วเป็นของคนอื่น ฉันเลยกลายเป็นคนอื่นเพราะแม่เกรงใจลูกเขย ทุกครั้งที่ฉันไปหาแม่จึงไม่อยากพาสามีไปด้วย แต่ครั้งนี้ถึงสามีไปด้วยก็ไม่เป็นไรเพราะแม่เหมือนอยู่ในความฝันมากกว่าความจริง

ฉันเป็นแม่ลูกสอง ชายหนึ่งหญิงหนึ่งเรียนในมหาวิทยาลัยทั้งคู่ ลูกบอกเหมือนกันว่ารักษาหุ่นอย่าให้อ้วน(คงกลัวจะดูแลยากเหมือนยาย) ฉันรักลูกสุดหัวใจ ฉันไม่อยากอายุยืนอย่างแม่ กลัวลูกต้องลำบากที่จะต้องมาดูแล แต่แม่ของฉัน ฉันไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรเลยที่ต้องไปดูแล

วันนี้ลูกสาวส่ง E-mail มาให้ ปลื้มซะไม่มี คุณอ่านดูซิ....!!!..



โปรดอ่าน ดีมาก ๆๆๆ

หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปีผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ เพราะวันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ

' ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ ' ภรรยาผมว่า ' แต่ผมรักคุณนี่ ' ผมเถียง

' ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน '

ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ แม่ของผมเอง ซึ่งเป็นหม้ายมา 19ปีแล้ว เนื่องจากงานที่รัดตัวและต้องดูแลลูก ๆ ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น

วันที่ผมโทรไปหาแม่เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนัง แม่ถามว่า ' มีอะไรหรือ ? ลูกสบายดีรึเปล่า ? '

แม่ผมเป็นผู้หญิงประเภทที่คิดว่าการที่คนโทรมาหากลางดึก หรือเชิญอย่างกระทันหัน หมายความว่ามีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น

ผมตอบแม่ว่า ' ผมว่าดีออกถ้าเราได้ใช้เวลากันตามลำพังสองคน แม่ลูกบ้าง '

แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า ' แม่ยินดีมากเลยจ้ะ '

เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็ สังเกตได้ว่า แม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว แม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์

' แม่บอกเพื่อนๆว่าแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย พวกเขาประทับใจกันใหญ่ 'แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ ' พวกเขารอฟังแทบไม่ไหวเลย '

เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม และบรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง

หลังจากที่เรานั่งลงเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเป็นฝ่ายอ่าน เมนูอาหาร เพราะสายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น

เมื่อผมอ่านเมนูอองเทรไปได้เพียงครึ่ง ผมเงยขึ้นมองเห็นแม่กำลังมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง

' ตอนที่ลูกยังเล็กนั้น แม่ต้องเป็นคนอ่าน เมนูให้ลูกฟัง ' แม่ว่า ' งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบายๆบ้าง ' ผมตอบ

ในระหว่างมื้ออาหารนั้น เราคุยกันอย่างถูกคอ - ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร -เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเรา เป็นยังไงทำอะไรที่ไหนมาบ้าง เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า ' แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ ' ผมตอบตกลง

' ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง ?' ภรรยาถามเมื่อผมกลับถึงบ้าน ' ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย ' ผมตอบ


ไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย

หลายวันต่อมา ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป มีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า ' แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือลูกกับภรรยา ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่หน , รักลูกจ้ะ '

วินาทีนั้น ผมเข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า ' รัก ' ต่อคนที่เรารักในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมัน

ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณจงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้

บางคนบอกว่า หลังจากที่คุณคลอดบุตรแล้วต้องใช้เวลาราว 6 สัปดาห์จึงจะคืนสู่สภาพเดิม คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่คนแล้ว ไม่มีคำว่าคนเดิมอีกต่อไป
บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เองตามสัญชาติญาณ คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เกต

บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับหลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาดๆ

บางคนบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้และใบรับประกัน

บางคนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมาทันได้เห็นลูกหวดลูกกอล์ฟเข้าใส่หน้าต่างครัวของเพื่อนบ้านพอดิบพอดี

บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ได้ คนนั้นไม่เคยช่วยลูกประถมสี่ทำการบ้านเลย

บางคนบอกว่า แม่รักลูกคนที่ห้าไม่เท่าลูกคนแรก คนนั้นไม่เคยมีลูกห้าคน

บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่คือตอนเลี้ยงและตอนคลอด คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถเมลไปโรงเรียนอนุบาลวันแรกหรือขึ้นเครื่องบินไปบู๊ทแคมป์ของทหาร

บางคนบอกว่า งานของแม่นั้นหมูๆ ปิดตาสองข้าง หรือมัดมือไว้ข้างหนึ่งก็ยังไว้ คนนั้นไม่เคยสอนการออกเดินขายคุ๊กกี้ให้กับเหล่ายุวนารี7 คนที่กระจุ๊กกระจิ๊กคิกคักกันอยู่ตลอดเวลา

บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงานคือการนำลูกชายหรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่

บางคนบอกว่างานของแม่สิ้นสุดลงเมื่อลูกคนสุดท้ายออกจากบ้านไป คนนั้นไม่เคยมีหลานยาย หรือหลานย่า

บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้น ไม่ต้องบอกท่านก็ได้ คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน

โปรดส่งต่อถึงทุกคนที่เป็น ' แม่ ' และทุกคนที่มี ' แม่ '

วันอังคารที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

พระวัดป่า......ถึงธรรมกาย



เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา(พฤศจิกายน) ได้โอกาสไปอบรมธรรมที่สวนพนาวัฒน์ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ เนื่องจากผู้บริหารไม่ไป จึงขออนุญาตไปแทน เพราะที่พักว่างเฉพาะผู้หญิง ผู้บังคับบัญชาก็ใจดีให้ไป อันดับแรกไม่รู้ว่าต้องเข้ากรุงเทพฯก่อน ไปทอดกฐินของวัดพระธรรมกาย เมื่อขึ้นรถแล้วจึงทราบ ทำให้ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อวัดพระธรรมกายเพิ่มขึ้น และเพิ่มมากขึ้นอีกเมื่อต้องค้างอยู่ที่วัดพระธรรมกายอีก ๑ คืน เช้าถัดมาอีกวันจึงจะเริ่มเดินทางถึงสวนพนาวัฒน์ เกือบห้าทุ่ม หมอกลงหนาเป็นไอน้ำ หนาวสั่นทีเดียว อาบน้ำนอน สวนพนาวัฒน์อยู่ที่ความสูงเท่าดอยสุเทพ เช้าเห็นทะเลหมอก พระที่มาให้ความรู้ในสองวันแรกไม่เท่าไหร่ แต่สองวันให้หลังน่าจะเป็นความภาคภูมิใจของวัดพระธรรมกายทีเดียว ในที่สุดคณะผู้บริหารโรงเรียนก็ถูกล้างสมองไปไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ รวมทั้งฉันด้วย?.....อา...อย่าเพิ่งเหมารวม


คุณไปสวนพนาวัฒน์แล้วยัง? ถ้ายังก็ไม่เป็นไร
คุณนับถือพระพุทธศาสนาเหมือนฉันไหม? ..ใช่....ถามเองตอบเอง....


คุณนับถือหลวงปู่ชา พระสายวัดป่ารึเปล่า?...อันนี้แล้วแต่....
พระวัดป่าฉันมื้อเดียวนะคะ


คุณศรัทธาหลวงพ่อปัญญานันทะเหมือนฉันด้วยไหม?....ใช่แน่ๆๆ.....
คุณไปเชียงใหม่แล้วต้องไปกราบครูบาศรีวิชัยก่อนขึ้นชมพระธาตุดอยสุเทพ จริงไหม?

เหมือนฉันเลย..!.....


แล้วคุณคิดเหมือนฉันป่ะ...!!!!....


พนาวัฒน์เทียบความสูงเท่าดอยสุเทพ
ศูนย์รวมพระพุทธศาสนาอยู่ที่พุทธมณฑล?ธรรมกาย?

หลวงพ่อธมฺมชโย?พระพยอม?


ทุกเช้าฉันตักบาตรซึ่งพระสายวัดป่ามาบิณฑบาตรก่อนไปทำงาน นับเป็นบุญของฉันที่ทำให้ฉันได้มีวิธีส่งเสริมและสืบทอดพระพุทธศาสนา
ฉันเป็นเลขานุการชมรมพุทธศาสตร์อำเภอกันทรลักษ์ ทุกปีเราชาวชมรมจะไปทอดกฐินที่วัดที่ไม่มีใครจองกฐิน นอกจากนั้นยังจัดกิจกรรมมอบทุนการศึกษาตอบปัญหาธรรมให้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทุกปี เงินมาจากไหนหรือ? เราบริจาคกันเองนี่แหละ


พระวัดป่าอยู่อย่างสมถะและแรงศรัทธา?
พระวัดธรรมกายอยู่ด้วยเงินมหาศาลและแรงศรัทธา?


พระวัดป่าใช้ธรรมชาติเป็นหน่วยเผยแผ่พระศาสนา?
พระธรรมกายใช้เงินในการบริหารจัดการให้คนเข้าฟังธรรม?


หากไม่ใช้เงินจากแรงศรัทธามาบริหารจัดการ พระศาสนาเราจะเสื่อมเร็วขึ้น?
คุณคิดอะไรอยู่.....


ฉันเพียงแค่เดินอยู่.......ข้างหน้าของฉันเป็นทางแยก สองทางหรือสามทางหรือกี่ทางก็แล้วแต่

.....จุดหมายเดียวกัน..!.......