วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

แม่.....พรหมของลูก

ฉันลางานช่วงวันที่ ๑๑-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ ไปดูแลแม่ที่ป่วย แม่ของฉันอายุ ๘๖ มีพี่สาวสองคน พี่ชายอีกคนและน้องสาวอีกคนผลัดกันดูแล พี่ชายน่ะเท่าแต่ดูและแลจริงๆ กลางวันเรามีตัวช่วย แต่หลังสี่โมงเย็นคงต้องผลัดกันจนเช้า ฉันใช้เวลาทั้งหมดที่รวมทั้งวันหยุดอยู่กับแม่ให้นานที่สุด ยังไม่คิดว่าแม่จะจากไปหรอก แต่ต้องการให้พี่ๆ และน้องได้พักเหนื่อยในช่วงที่ฉันอยู่ให้มากที่สุด แม่เดินไม่ได้แล้ว ฉันกลิ้งแม่เหมือนขอนไม้ใหญ่เพื่อเปลี่ยนผ้านุ่ง เปลี่ยนผ้าปูรองนอนเมื่อเปียก พลิกเปลี่ยนท่านอนทุกสองชั่วโมงเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ ยกแม่ให้นั่งเพื่อเปลี่ยนเสื้อ ป้อนอาหาร แม่ยังพูดได้ ถามรู้เรื่อง จำลูกได้ทุกคน แต่พูดน้อยลง บางวันที่แม่อยากสวดมนต์ดูได้จากการที่แม่นั่งพนมมือ ฉันจับมือแม่ทั้งสองข้างแล้วฉันก็พาแม่สวดอิติปิโส จนจบ แล้วต่อด้วยการแผ่เมตตา บางทีแม่คงอยากสวดมนต์เย็นเพราะไม่ยอมลดมือลง แต่ฉันจำบทสวดมนต์เย็นไม่ได้ หนังสือสวดมนต์ก็ไม่ได้ติดกระเป๋าไปด้วย ได้เท่าไรก็เท่านั้นก่อน สิ่งหนึ่งที่อยู่ในความคิดของแม่คือ ลูกที่ยังไม่แต่งงานยังเป็นของแม่ ลูกที่แต่งงานแล้วเป็นของคนอื่น ฉันเลยกลายเป็นคนอื่นเพราะแม่เกรงใจลูกเขย ทุกครั้งที่ฉันไปหาแม่จึงไม่อยากพาสามีไปด้วย แต่ครั้งนี้ถึงสามีไปด้วยก็ไม่เป็นไรเพราะแม่เหมือนอยู่ในความฝันมากกว่าความจริง

ฉันเป็นแม่ลูกสอง ชายหนึ่งหญิงหนึ่งเรียนในมหาวิทยาลัยทั้งคู่ ลูกบอกเหมือนกันว่ารักษาหุ่นอย่าให้อ้วน(คงกลัวจะดูแลยากเหมือนยาย) ฉันรักลูกสุดหัวใจ ฉันไม่อยากอายุยืนอย่างแม่ กลัวลูกต้องลำบากที่จะต้องมาดูแล แต่แม่ของฉัน ฉันไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรเลยที่ต้องไปดูแล

วันนี้ลูกสาวส่ง E-mail มาให้ ปลื้มซะไม่มี คุณอ่านดูซิ....!!!..



โปรดอ่าน ดีมาก ๆๆๆ

หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปีผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ เพราะวันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ

' ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ ' ภรรยาผมว่า ' แต่ผมรักคุณนี่ ' ผมเถียง

' ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน '

ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ แม่ของผมเอง ซึ่งเป็นหม้ายมา 19ปีแล้ว เนื่องจากงานที่รัดตัวและต้องดูแลลูก ๆ ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น

วันที่ผมโทรไปหาแม่เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนัง แม่ถามว่า ' มีอะไรหรือ ? ลูกสบายดีรึเปล่า ? '

แม่ผมเป็นผู้หญิงประเภทที่คิดว่าการที่คนโทรมาหากลางดึก หรือเชิญอย่างกระทันหัน หมายความว่ามีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น

ผมตอบแม่ว่า ' ผมว่าดีออกถ้าเราได้ใช้เวลากันตามลำพังสองคน แม่ลูกบ้าง '

แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า ' แม่ยินดีมากเลยจ้ะ '

เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็ สังเกตได้ว่า แม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว แม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์

' แม่บอกเพื่อนๆว่าแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย พวกเขาประทับใจกันใหญ่ 'แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ ' พวกเขารอฟังแทบไม่ไหวเลย '

เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม และบรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง

หลังจากที่เรานั่งลงเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเป็นฝ่ายอ่าน เมนูอาหาร เพราะสายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น

เมื่อผมอ่านเมนูอองเทรไปได้เพียงครึ่ง ผมเงยขึ้นมองเห็นแม่กำลังมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง

' ตอนที่ลูกยังเล็กนั้น แม่ต้องเป็นคนอ่าน เมนูให้ลูกฟัง ' แม่ว่า ' งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบายๆบ้าง ' ผมตอบ

ในระหว่างมื้ออาหารนั้น เราคุยกันอย่างถูกคอ - ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร -เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเรา เป็นยังไงทำอะไรที่ไหนมาบ้าง เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า ' แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ ' ผมตอบตกลง

' ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง ?' ภรรยาถามเมื่อผมกลับถึงบ้าน ' ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย ' ผมตอบ


ไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย

หลายวันต่อมา ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป มีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า ' แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือลูกกับภรรยา ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่หน , รักลูกจ้ะ '

วินาทีนั้น ผมเข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า ' รัก ' ต่อคนที่เรารักในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมัน

ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณจงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้

บางคนบอกว่า หลังจากที่คุณคลอดบุตรแล้วต้องใช้เวลาราว 6 สัปดาห์จึงจะคืนสู่สภาพเดิม คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่คนแล้ว ไม่มีคำว่าคนเดิมอีกต่อไป
บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เองตามสัญชาติญาณ คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เกต

บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับหลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาดๆ

บางคนบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้และใบรับประกัน

บางคนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมาทันได้เห็นลูกหวดลูกกอล์ฟเข้าใส่หน้าต่างครัวของเพื่อนบ้านพอดิบพอดี

บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ได้ คนนั้นไม่เคยช่วยลูกประถมสี่ทำการบ้านเลย

บางคนบอกว่า แม่รักลูกคนที่ห้าไม่เท่าลูกคนแรก คนนั้นไม่เคยมีลูกห้าคน

บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่คือตอนเลี้ยงและตอนคลอด คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถเมลไปโรงเรียนอนุบาลวันแรกหรือขึ้นเครื่องบินไปบู๊ทแคมป์ของทหาร

บางคนบอกว่า งานของแม่นั้นหมูๆ ปิดตาสองข้าง หรือมัดมือไว้ข้างหนึ่งก็ยังไว้ คนนั้นไม่เคยสอนการออกเดินขายคุ๊กกี้ให้กับเหล่ายุวนารี7 คนที่กระจุ๊กกระจิ๊กคิกคักกันอยู่ตลอดเวลา

บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงานคือการนำลูกชายหรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่

บางคนบอกว่างานของแม่สิ้นสุดลงเมื่อลูกคนสุดท้ายออกจากบ้านไป คนนั้นไม่เคยมีหลานยาย หรือหลานย่า

บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้น ไม่ต้องบอกท่านก็ได้ คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน

โปรดส่งต่อถึงทุกคนที่เป็น ' แม่ ' และทุกคนที่มี ' แม่ '

วันอังคารที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

พระวัดป่า......ถึงธรรมกาย



เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา(พฤศจิกายน) ได้โอกาสไปอบรมธรรมที่สวนพนาวัฒน์ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ เนื่องจากผู้บริหารไม่ไป จึงขออนุญาตไปแทน เพราะที่พักว่างเฉพาะผู้หญิง ผู้บังคับบัญชาก็ใจดีให้ไป อันดับแรกไม่รู้ว่าต้องเข้ากรุงเทพฯก่อน ไปทอดกฐินของวัดพระธรรมกาย เมื่อขึ้นรถแล้วจึงทราบ ทำให้ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อวัดพระธรรมกายเพิ่มขึ้น และเพิ่มมากขึ้นอีกเมื่อต้องค้างอยู่ที่วัดพระธรรมกายอีก ๑ คืน เช้าถัดมาอีกวันจึงจะเริ่มเดินทางถึงสวนพนาวัฒน์ เกือบห้าทุ่ม หมอกลงหนาเป็นไอน้ำ หนาวสั่นทีเดียว อาบน้ำนอน สวนพนาวัฒน์อยู่ที่ความสูงเท่าดอยสุเทพ เช้าเห็นทะเลหมอก พระที่มาให้ความรู้ในสองวันแรกไม่เท่าไหร่ แต่สองวันให้หลังน่าจะเป็นความภาคภูมิใจของวัดพระธรรมกายทีเดียว ในที่สุดคณะผู้บริหารโรงเรียนก็ถูกล้างสมองไปไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ รวมทั้งฉันด้วย?.....อา...อย่าเพิ่งเหมารวม


คุณไปสวนพนาวัฒน์แล้วยัง? ถ้ายังก็ไม่เป็นไร
คุณนับถือพระพุทธศาสนาเหมือนฉันไหม? ..ใช่....ถามเองตอบเอง....


คุณนับถือหลวงปู่ชา พระสายวัดป่ารึเปล่า?...อันนี้แล้วแต่....
พระวัดป่าฉันมื้อเดียวนะคะ


คุณศรัทธาหลวงพ่อปัญญานันทะเหมือนฉันด้วยไหม?....ใช่แน่ๆๆ.....
คุณไปเชียงใหม่แล้วต้องไปกราบครูบาศรีวิชัยก่อนขึ้นชมพระธาตุดอยสุเทพ จริงไหม?

เหมือนฉันเลย..!.....


แล้วคุณคิดเหมือนฉันป่ะ...!!!!....


พนาวัฒน์เทียบความสูงเท่าดอยสุเทพ
ศูนย์รวมพระพุทธศาสนาอยู่ที่พุทธมณฑล?ธรรมกาย?

หลวงพ่อธมฺมชโย?พระพยอม?


ทุกเช้าฉันตักบาตรซึ่งพระสายวัดป่ามาบิณฑบาตรก่อนไปทำงาน นับเป็นบุญของฉันที่ทำให้ฉันได้มีวิธีส่งเสริมและสืบทอดพระพุทธศาสนา
ฉันเป็นเลขานุการชมรมพุทธศาสตร์อำเภอกันทรลักษ์ ทุกปีเราชาวชมรมจะไปทอดกฐินที่วัดที่ไม่มีใครจองกฐิน นอกจากนั้นยังจัดกิจกรรมมอบทุนการศึกษาตอบปัญหาธรรมให้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทุกปี เงินมาจากไหนหรือ? เราบริจาคกันเองนี่แหละ


พระวัดป่าอยู่อย่างสมถะและแรงศรัทธา?
พระวัดธรรมกายอยู่ด้วยเงินมหาศาลและแรงศรัทธา?


พระวัดป่าใช้ธรรมชาติเป็นหน่วยเผยแผ่พระศาสนา?
พระธรรมกายใช้เงินในการบริหารจัดการให้คนเข้าฟังธรรม?


หากไม่ใช้เงินจากแรงศรัทธามาบริหารจัดการ พระศาสนาเราจะเสื่อมเร็วขึ้น?
คุณคิดอะไรอยู่.....


ฉันเพียงแค่เดินอยู่.......ข้างหน้าของฉันเป็นทางแยก สองทางหรือสามทางหรือกี่ทางก็แล้วแต่

.....จุดหมายเดียวกัน..!.......












วันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เรื่องเล็กน้อยที่ค้างในใจ

มันค้างมาจากการเที่ยวกับทัวร์นั่นแหละ ฉันไปคนเดียว นอกนั้นซิ้ม(คือ หญิงชาวจีนอายุมาก แต่ยังไม่แก่มาก)ทั้งนั้นเลย มีผู้ชายสามคนผู้หญิงสิบสองคนรวมทั้งฉัน ฉันไปคนเดียว นอกนั้นเขารู้จักกันหมด ฉันพักกะซิ้มคนหนึ่ง สวยเชียวอายุ ๖๒ ปี ฉันบริการดูแลทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้ตั้งแต่บนรถจนถึงห้องพัก วันแรกที่เข้าพักน่ะฉันเสียบกุญแจห้องให้ซิ้มเข้าไปก่อนฉันรีบไปเช็ค mail และ msn ไปหาลูก กลับมาแกโวยวายใหญ่หาว่าฉันทิ้งแกอยู่คนเดียว แกเปิดน้ำไม่เป็น ต้องให้บริกรมาช่วย ทั้งยังทำก็อกน้ำเขาหลุดด้วย แต่ตอนที่ฉันกลับมาแกกลับเอาน้ำออกจากอ่างไม่ได้ ฉันจัดการระบายน้ำออก เปิดโทรทัศน์ให้ แล้วจึงจัดการกับตัวเอง ซิ้มเห็นฉันทาครีม จึงถามว่าครีมอะไร ฉันบอกว่าลูกสาวซื้อมาให้จากอเมริกา ไม่มีอะไรหรอก วันถัดมาเมื่อกลับมาฉันเปิดประตูห้องซิ้มบอกฉันว่าจะไปเล่นเน็ตก็ไปเหอะ ฉันกลับมาก็อาบน้ำนอนทีเดียว เช้าวันที่สามนั่นเองเมื่อฉันอาบน้ำเสร็จซิ้มเข้าห้องน้ำจึงเห็นว่าครีมที่ฉันบอกว่าลูกซื้อมาให้มันหายไปกว่าครึ่งที่เหลืออยู่ คาดว่าทาทั้งตัวก็ไม่หมดขนาดนั้น คงควักใส่กระปุกของแกไปด้วย ความเดือดในใจมันวิ่งปรู๊ดสูงขึ้นมาเลย แต่ความเป็นครูสะกดให้ฉันนิ่งอยู่พักหนึ่ง เก็บสีหน้าความไม่พอใจทั้งหมดไว้ ฉันไม่ได้ถาม ซิ้มออกจากห้องน้ำเห็นฉันทาครีมจึงพูดว่า หอมดีนะ เหมือนกลิ่นผลไม้ ฉันตอบค่ะคำเดียว คุณจะคิดว่าฉันขี้เหนียวไหม? ที่โกรธซิ้ม ฉันควรถามว่าคุณทำไงมันถึงหมดไปขนาดนี้? เด็กทำความสะอาดห้องมันควักเอาไปใช่ไหม? อยู่กันสองคนแล้วจะให้ถามทำไมว่าใครเอา มันของใช้ส่วนตัวนะ ฉันเสียความรู้สึกมาก นึกไม่ออกว่าเคยแอบเอาของใครแบบนี้บ้างรึเปล่า ถือว่าเป็นกรรมที่ฉันคั่งค้างกะซิ้มเขามาก่อนก็ได้ ฉันเพียงอยากเล่าให้ฟังน่ะ เพื่อว่าใครที่เดินทางแล้วเจอเพื่อนร่วมห้องเป็นอย่างนี้จะได้ระวัง ลูกสาวฉันบอกว่าที่หลังแม่อย่าบอกว่าซื้อมาจากอเมริกา ให้บอกว่าซื้อมาจากลาว..........

ตกค้างจาก.........เสียมราฐ

วันพุธที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เวลาเช้าของฉัน

เมื่อลืมตาตอนเช้าขณะที่อยู่บนเตียง คุณทำอะไรก่อน?
เป็นเหมือนฉันป่ะ.....
เดี๋ยวนี้ลูกโตแล้ว
ในฐานะแม่บ้าน....เช้านี้กินอะไรดี? ในตู้เย็นมีอะไรบ้าง?
เปล่า... ยังอยากนอนต่อ ให้สายตาปรับแสงสักครู่ เอามือแนบลำตัวลุกนั่ง 10 ครั้ง
กางแขนออกยกขาขึ้น 10 ครั้ง จับหน้าท้อง ใต้อก รอบเอว ไขมันหนาขึ้นอีกแล้ว
รีบลุกขึ้น หุงข้าว เปิดตู้เย็นเตรียมอาหารหรือผลไม้ใส่บาตร (อายพระน่ะ..หากไม่ใส่

เพราะพระผ่านหน้าบ้านทุกวัน)

เตรียมอาหารเช้าสำหรับสองคน(ก็เหลือกันแค่สองคน) รีดผ้า(ของใครของมัน) พออีกคนใส่บาตรเสร็จ ก็ทานข้าวก่อน ให้อาหารแมว(หกตัว..ไม่รู้มันจะเกิดออกมาทำไมนักหนา) แย่งห้องน้ำ แต่งตัวอย่างรวดเร็ว รีบไปทำงาน....ลัน..ลันลา.....

ทั้งหมดนี้ยังไม่ไปทำงานเลย..!!!..

เมื่อก่อนลูกยังเล็ก
เช้าย่องลงจากเตียง กลัวลูกตื่น ทำกับข้าวรีบอาบน้ำแต่งตัว ขึ้นไปจ๊ะเอ๋...เพราะเจ้าตัวเล็กทั้งสองตื่นแล้ว รีบอาบน้ำให้ลูก รีบแต่งตัวและป้อนข้าวลูก รีบเอาลูกขึ้นรถไปส่งลูกที่โรงเรียน(ลูกอยู่ ป.1-2)แล้วรออีกคน ตัวเองจึงจะไปโรงเรียน อีกคนที่รอนะเรอะ...ก็นุ่งผ้าเช็ดตัว กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะกินข้าว กว่าจะแล้วเสร็จอยากจะ.....รำคาญ..... ปานนั้นก็อยู่ด้วยกันมาจนลูกโต
น่าเบื่อฉิบ........

วันอังคารที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เสียมเรียบ.....เมืองปราสาท

เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา....ฉันไปเที่ยวเมืองเสียมราฐ ของประเทศกัมพูชา เมืองแห่งปราสาท และการท่องเที่ยว คนเขมรเที่ยวฟรีไม่ต้องจ่ายค่าเข้าชมโบราณสถาน คนต่างชาติ 20 ดอลล่าร์ ต่อวัน
ภาพที่ฉันประทับใจกลับไม่ใช่ภาพปราสาทราชวัง ไม่ใช่โบราณสถาน แต่เป็นภาพที่หญิงต่างชาติคนหนึ่งเดินไปจะเข้าห้องน้ำ ซึ่งจะต้องผ่านขอทาน ที่นั่งอยู่ระหว่างทาง เขาคงจะถูกไฟลวกไปทั้งตัว พิการตั้งแต่ศรีษะถึงฝ่าเท้า สายตาของเธอที่มองขอทานเต็มไปด้วยความเห็นใจ สงสารและเจ็บปวด เธอเปิดกระเป๋าหยิบ ดอลล่าร์ใส่ลงบนผ้าที่ปูไว้หน้าขอทานนั้น แล้วยืนดูขอทานพักใหญ่ก่อนที่จะเดินทางต่อ มันเป็นมิตรภาพที่มิต้องอธิบาย มันเป็นความเจ็บปวดร่วมกันที่สามารถถ่ายทอดออกทางสายตา ฉันมองเธอ มองขอทาน มองคนผ่านไปผ่านมา ฉันรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างไปจากเธอ เจ้าของร่างกายนั้นจะทนทุกข์สักแค่ไหนนะ ก่อนที่ฉันจะเดินจากมา
ภาพไม่ประทับใจก็มี ไม่สิ ไม่ใช่ภาพแต่เป็นคำพูด.....ไกด์บอกว่าการทำปราสาทหินเป็นงานบุญ ผู้ที่มาทำเป็นผู้มีบุญ ไม่ใช่ถูกบังคับขู่เข็ญเหมือนการสร้างสะพานแม่น้ำแคว ที่จังหวัดกาญจนบุรี ไกด์บอกว่าคนทำปราสาทอยู่อย่างสุขสบาย มีระบำรำฟ้อนให้ดูยามพักผ่อน ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไรเล้ย แต่ที่ไม่พึงพอใจคือเมื่อเธอบอกว่า "คนไทยมาทำงานที่นี่เงินเดือนสองหมื่นสามหมื่น มาลงทุน มาสอนคนเขมร เช่นทำสปา หรืออะไรต่างๆ เมื่อคนเขมรทำได้แล้วก็ไล่คนไทยกลับไป ที่ทำไว้ก็เป็นของเรา" ไกด์พูดไม่อายเลยนะ ย้ำแล้วย้ำอีกไม่คิดสักนิดว่า ลูกทัวร์ของเธอเป็นคนไทยทั้งหมด มิน่า....คิดล้างครูอย่างนี้เอง จึงไม่เจริญสักที ฉันอยากจะตอกกลับไปเหลือเกินว่าคิดดีแล้วหรือที่พูดอย่างนี้
เมืองเสียมราฐ เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งเมืองมีปราสาทหินให้ชมไม่น้อยกว่า สี่ร้อยห้าสิบ แห่ง ในเมืองมีโรงแรมขนาดใหญ่มากมาย ชาวต่างชาติมีมาก รายได้เข้าจังหวัดคงสะพัดมาก ถนนหนทางแคบ แต่คนเขมรกลับยากจนเหลือเกิน ฉันได้รู้จักกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเสียมราฐ หนุ่มฟ้อเลย อายุ 37 ปี จะแต่งงานเดือนหน้า(ธันวาคม) ไม่น่าเชื่อว่ายังโสดแต่สามารถอยู่ในตำแหน่งที่สูงได้ขนาดนี้ เมื่อเปิดหูอีกข้างหนึ่งฉันกลับได้ยินว่า เป็นคนสนิทของผู้นำประเทศ เมืองไทยมีการฉ้อราชบังหลวง(คอรับชั่น)ติดอันดับโลก แต่ที่นี่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน อ๊ะ...อ๊ะ...คุณคิดอะไรอยู่