วันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เรื่องเล็กน้อยที่ค้างในใจ

มันค้างมาจากการเที่ยวกับทัวร์นั่นแหละ ฉันไปคนเดียว นอกนั้นซิ้ม(คือ หญิงชาวจีนอายุมาก แต่ยังไม่แก่มาก)ทั้งนั้นเลย มีผู้ชายสามคนผู้หญิงสิบสองคนรวมทั้งฉัน ฉันไปคนเดียว นอกนั้นเขารู้จักกันหมด ฉันพักกะซิ้มคนหนึ่ง สวยเชียวอายุ ๖๒ ปี ฉันบริการดูแลทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้ตั้งแต่บนรถจนถึงห้องพัก วันแรกที่เข้าพักน่ะฉันเสียบกุญแจห้องให้ซิ้มเข้าไปก่อนฉันรีบไปเช็ค mail และ msn ไปหาลูก กลับมาแกโวยวายใหญ่หาว่าฉันทิ้งแกอยู่คนเดียว แกเปิดน้ำไม่เป็น ต้องให้บริกรมาช่วย ทั้งยังทำก็อกน้ำเขาหลุดด้วย แต่ตอนที่ฉันกลับมาแกกลับเอาน้ำออกจากอ่างไม่ได้ ฉันจัดการระบายน้ำออก เปิดโทรทัศน์ให้ แล้วจึงจัดการกับตัวเอง ซิ้มเห็นฉันทาครีม จึงถามว่าครีมอะไร ฉันบอกว่าลูกสาวซื้อมาให้จากอเมริกา ไม่มีอะไรหรอก วันถัดมาเมื่อกลับมาฉันเปิดประตูห้องซิ้มบอกฉันว่าจะไปเล่นเน็ตก็ไปเหอะ ฉันกลับมาก็อาบน้ำนอนทีเดียว เช้าวันที่สามนั่นเองเมื่อฉันอาบน้ำเสร็จซิ้มเข้าห้องน้ำจึงเห็นว่าครีมที่ฉันบอกว่าลูกซื้อมาให้มันหายไปกว่าครึ่งที่เหลืออยู่ คาดว่าทาทั้งตัวก็ไม่หมดขนาดนั้น คงควักใส่กระปุกของแกไปด้วย ความเดือดในใจมันวิ่งปรู๊ดสูงขึ้นมาเลย แต่ความเป็นครูสะกดให้ฉันนิ่งอยู่พักหนึ่ง เก็บสีหน้าความไม่พอใจทั้งหมดไว้ ฉันไม่ได้ถาม ซิ้มออกจากห้องน้ำเห็นฉันทาครีมจึงพูดว่า หอมดีนะ เหมือนกลิ่นผลไม้ ฉันตอบค่ะคำเดียว คุณจะคิดว่าฉันขี้เหนียวไหม? ที่โกรธซิ้ม ฉันควรถามว่าคุณทำไงมันถึงหมดไปขนาดนี้? เด็กทำความสะอาดห้องมันควักเอาไปใช่ไหม? อยู่กันสองคนแล้วจะให้ถามทำไมว่าใครเอา มันของใช้ส่วนตัวนะ ฉันเสียความรู้สึกมาก นึกไม่ออกว่าเคยแอบเอาของใครแบบนี้บ้างรึเปล่า ถือว่าเป็นกรรมที่ฉันคั่งค้างกะซิ้มเขามาก่อนก็ได้ ฉันเพียงอยากเล่าให้ฟังน่ะ เพื่อว่าใครที่เดินทางแล้วเจอเพื่อนร่วมห้องเป็นอย่างนี้จะได้ระวัง ลูกสาวฉันบอกว่าที่หลังแม่อย่าบอกว่าซื้อมาจากอเมริกา ให้บอกว่าซื้อมาจากลาว..........

ตกค้างจาก.........เสียมราฐ

วันพุธที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เวลาเช้าของฉัน

เมื่อลืมตาตอนเช้าขณะที่อยู่บนเตียง คุณทำอะไรก่อน?
เป็นเหมือนฉันป่ะ.....
เดี๋ยวนี้ลูกโตแล้ว
ในฐานะแม่บ้าน....เช้านี้กินอะไรดี? ในตู้เย็นมีอะไรบ้าง?
เปล่า... ยังอยากนอนต่อ ให้สายตาปรับแสงสักครู่ เอามือแนบลำตัวลุกนั่ง 10 ครั้ง
กางแขนออกยกขาขึ้น 10 ครั้ง จับหน้าท้อง ใต้อก รอบเอว ไขมันหนาขึ้นอีกแล้ว
รีบลุกขึ้น หุงข้าว เปิดตู้เย็นเตรียมอาหารหรือผลไม้ใส่บาตร (อายพระน่ะ..หากไม่ใส่

เพราะพระผ่านหน้าบ้านทุกวัน)

เตรียมอาหารเช้าสำหรับสองคน(ก็เหลือกันแค่สองคน) รีดผ้า(ของใครของมัน) พออีกคนใส่บาตรเสร็จ ก็ทานข้าวก่อน ให้อาหารแมว(หกตัว..ไม่รู้มันจะเกิดออกมาทำไมนักหนา) แย่งห้องน้ำ แต่งตัวอย่างรวดเร็ว รีบไปทำงาน....ลัน..ลันลา.....

ทั้งหมดนี้ยังไม่ไปทำงานเลย..!!!..

เมื่อก่อนลูกยังเล็ก
เช้าย่องลงจากเตียง กลัวลูกตื่น ทำกับข้าวรีบอาบน้ำแต่งตัว ขึ้นไปจ๊ะเอ๋...เพราะเจ้าตัวเล็กทั้งสองตื่นแล้ว รีบอาบน้ำให้ลูก รีบแต่งตัวและป้อนข้าวลูก รีบเอาลูกขึ้นรถไปส่งลูกที่โรงเรียน(ลูกอยู่ ป.1-2)แล้วรออีกคน ตัวเองจึงจะไปโรงเรียน อีกคนที่รอนะเรอะ...ก็นุ่งผ้าเช็ดตัว กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะกินข้าว กว่าจะแล้วเสร็จอยากจะ.....รำคาญ..... ปานนั้นก็อยู่ด้วยกันมาจนลูกโต
น่าเบื่อฉิบ........

วันอังคารที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เสียมเรียบ.....เมืองปราสาท

เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา....ฉันไปเที่ยวเมืองเสียมราฐ ของประเทศกัมพูชา เมืองแห่งปราสาท และการท่องเที่ยว คนเขมรเที่ยวฟรีไม่ต้องจ่ายค่าเข้าชมโบราณสถาน คนต่างชาติ 20 ดอลล่าร์ ต่อวัน
ภาพที่ฉันประทับใจกลับไม่ใช่ภาพปราสาทราชวัง ไม่ใช่โบราณสถาน แต่เป็นภาพที่หญิงต่างชาติคนหนึ่งเดินไปจะเข้าห้องน้ำ ซึ่งจะต้องผ่านขอทาน ที่นั่งอยู่ระหว่างทาง เขาคงจะถูกไฟลวกไปทั้งตัว พิการตั้งแต่ศรีษะถึงฝ่าเท้า สายตาของเธอที่มองขอทานเต็มไปด้วยความเห็นใจ สงสารและเจ็บปวด เธอเปิดกระเป๋าหยิบ ดอลล่าร์ใส่ลงบนผ้าที่ปูไว้หน้าขอทานนั้น แล้วยืนดูขอทานพักใหญ่ก่อนที่จะเดินทางต่อ มันเป็นมิตรภาพที่มิต้องอธิบาย มันเป็นความเจ็บปวดร่วมกันที่สามารถถ่ายทอดออกทางสายตา ฉันมองเธอ มองขอทาน มองคนผ่านไปผ่านมา ฉันรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างไปจากเธอ เจ้าของร่างกายนั้นจะทนทุกข์สักแค่ไหนนะ ก่อนที่ฉันจะเดินจากมา
ภาพไม่ประทับใจก็มี ไม่สิ ไม่ใช่ภาพแต่เป็นคำพูด.....ไกด์บอกว่าการทำปราสาทหินเป็นงานบุญ ผู้ที่มาทำเป็นผู้มีบุญ ไม่ใช่ถูกบังคับขู่เข็ญเหมือนการสร้างสะพานแม่น้ำแคว ที่จังหวัดกาญจนบุรี ไกด์บอกว่าคนทำปราสาทอยู่อย่างสุขสบาย มีระบำรำฟ้อนให้ดูยามพักผ่อน ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไรเล้ย แต่ที่ไม่พึงพอใจคือเมื่อเธอบอกว่า "คนไทยมาทำงานที่นี่เงินเดือนสองหมื่นสามหมื่น มาลงทุน มาสอนคนเขมร เช่นทำสปา หรืออะไรต่างๆ เมื่อคนเขมรทำได้แล้วก็ไล่คนไทยกลับไป ที่ทำไว้ก็เป็นของเรา" ไกด์พูดไม่อายเลยนะ ย้ำแล้วย้ำอีกไม่คิดสักนิดว่า ลูกทัวร์ของเธอเป็นคนไทยทั้งหมด มิน่า....คิดล้างครูอย่างนี้เอง จึงไม่เจริญสักที ฉันอยากจะตอกกลับไปเหลือเกินว่าคิดดีแล้วหรือที่พูดอย่างนี้
เมืองเสียมราฐ เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งเมืองมีปราสาทหินให้ชมไม่น้อยกว่า สี่ร้อยห้าสิบ แห่ง ในเมืองมีโรงแรมขนาดใหญ่มากมาย ชาวต่างชาติมีมาก รายได้เข้าจังหวัดคงสะพัดมาก ถนนหนทางแคบ แต่คนเขมรกลับยากจนเหลือเกิน ฉันได้รู้จักกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเสียมราฐ หนุ่มฟ้อเลย อายุ 37 ปี จะแต่งงานเดือนหน้า(ธันวาคม) ไม่น่าเชื่อว่ายังโสดแต่สามารถอยู่ในตำแหน่งที่สูงได้ขนาดนี้ เมื่อเปิดหูอีกข้างหนึ่งฉันกลับได้ยินว่า เป็นคนสนิทของผู้นำประเทศ เมืองไทยมีการฉ้อราชบังหลวง(คอรับชั่น)ติดอันดับโลก แต่ที่นี่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน อ๊ะ...อ๊ะ...คุณคิดอะไรอยู่